3. รัฐประศาสนศาตร์และรัฐศาสตร์ในมุมมองของข้าพเจ้า
รัฐประศาสนศาสตร์ Public Administration หรือ political and administrative science เป็นวิชาว่าด้วยการบริหารและการปกครองรัฐ(ท้องถิ่น-ส่วนกลาง)เพื่อให้ได้สัมฤทธิผลตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดงบประมาณสูงสุด สถาบัน
การศึกษาบางแห่งใช้คำว่าการบริหารรัฐกิจ
พูดง่ายๆก็คือวิชาว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินนั่นเอง
จะเป็นแผ่นดินที่มีงบประมาณเล็กๆ
ต้องอาศัยเงินอุดหนุนจากส่วนกลางอยู่ตลอดเวลา
หรือท้องถิ่นที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้บริหารโดยเงินที่มาจากการจัดเก็บภาษี
ในท้องถิ่น ซึ่งมีอยู่ในหลายระดับชั้นอาทิเช่น องค์การบริหารส่วนตำบล
เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร หรือเขตปกครองพิเศษเช่นกรุงเทพหรือพัทยา
ก็ว่ากันไปครับ
วิชา
นี้กล่าวรวมๆคือเป็นวิชาว่าด้วยการรับใช้สาธารณะ ในทุกๆรูปแบบ
นับตั้งแต่การจัดเก็บภาษี การฝังเมือง การประชากร ฯลฯ
มีคำจำกัดความที่ให้ไว้เกี่ยวกับรัฐประศาสนศาสตร์กันอยู่มากมายหลายความหมาย
อาทิเช่น
รัฐประศาสนศาสตร์เป็นโปรแกรมสาธารณะที่ว่าด้วยเรื่องการจัดการที่มี
ประสิทธิภาพ ฯลฯ แต่ในความเห็นของผู้เขียนได้ให้คำจัดกัดความว่า
รัฐประศาสนศาสตร์หมายถึงการบริหารจัดการรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิด
ประสิทธิผลสูงสุดภายใต้นโยบายทางการเมือง
หลายท่านอาจมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ผู้เขียนมีความเห็นว่า ทั้งสองเรื่อง
รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์จะต้องไปด้วยกันแบบฝาแฝดอิน-จัน
เหตุผลเพราะว่าการเมืองเป็นผู้กำหนดทิศทางการบริหาร
การบริหารราชการต้องสอดคล้องกับทิศทางทางการเมืองบนผลประโยชน์สูงสุดของ
ประชาชน
มีนักรัฐศาสตร์-รัฐประศาสนศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่ง ชื่อว่า ศาสตราจารย์ แมรี อี กาย แห่ง Askew School of Public Administration & Policy - Florida State University ซึ่งเป็นอดีต president
of Southern Political Science Association , President of American
Society for Public Administration และอีกหลายๆตำแหน่งทางวิชาการ. ท่านได้ให้ความเห็นซึ่งอ้างอิงไว้ในงานดุษฎีนิพนธ์หัวข้อ “PUBLIC ADMINISTRATION AND POLITICAL SCIENCE” ของ HIBA KHODR แห่ง The Askew School of Public Administration and Policy กล่าวเอาไว้ สรุปความว่า “ใครก็ตามที่พยายามแยกรัฐประศาสนศาสตร์ ออกจากรัฐศาสตร์เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง”
ความจริงแล้วผมไม่อยากอ้างอิงงานวิจัยของนักวิชาการท่านใดโดยไม่จำเป็น
มันดูเหมือนกับว่าเราพยายามอ้างอิงงานของผู้อื่น เพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น
ยิ่งอ้างอิงคนใหญ่คนโตในแวดวงวิชาการ ยิ่งได้เครดิต ยิ่งน่าเชื่อถือ
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นในแวดวงวิชาการทั้งนี้เพื่อป้องกันการแอบ
อ้างเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในแวดวงวิชาการ
ในความเห็นของผม ผมคิดว่า การทำวิทยานิพนธ์หรือดุษฎีนิพนธ์
ทางสังคมศาสตร์น่าจะทำวิจัยเชิงคุณภาพมากกว่า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความเห็นส่วนใหญ่ของนักวิชาการในแต่ละ
สถาบันการศึกษาด้วย เนื่องเพราะวิสัยทัศน์ มุมมอง
และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันนั่นเองงาน
วิจัยบางอย่างในทางรัฐประศาสนศาตร์
เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาหรือตอบโจทย์ในจุดหรือสถานที่ทำการวิจัยเล็กๆเท่า
นั้น ไม่ได้เป็นภาพกว้างดังเช่นรัฐศาสตร์
ไม่ได้เกิดแนวคิดทฤษฏีใหม่ๆในทางวิชาการแต่อย่างใดที่ชัดเจน
และไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างใหญ่หลวงแบบแนวคิดทางรัฐศาสตร์
รัฐประศาสนศาสตร์เป็นการเคลื่อนตัวของทิศทางนโยบายทางการเมืองสู่วิธีการ
ปฏิบัติ ประชาชนสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจของรัฐบาลในระดับ
ต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะไปในตัวด้วย ฯลฯ
รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศูนย์กลางขององค์กรภาครัฐทุกส่วนที่ขับเคลื่อนเพื่อ
บริการให้แก่ประชาชน
เป็นแหล่งรวมนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่นตลอดจนถึงรัฐบาลกลาง
ตามโครงการต่างๆใน แผนระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น
ตลอดจนแผนเร่งด่วนของหน่วยงานราชการทั้งหลาย นอกจากนี้
รัฐประศาสนศาตร์ยังเป็นศาสตร์ที่ศึกษารวมถึงพฤติกรรม ของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งแบบนักการ
เมือง
ข้าราชการประจำเป็นผู้กำหนดทิศทางการบริหารรัฐโดยภาพรวม ตามหลักวิชาการ
ส่วนนักการเมืองเป็นผู้กำหนดทิศทางของแผนในระยะต่างๆโดยให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของเจ้าของภาษีละสภาพแวดล้อมทางการเมืองของท้องถิ่น
การเมืองระดับประเทศ และการเมืองระดับโลก
ผู้รับใช้สาธารณะหรือข้าราชการ อันได้แก่ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล
ปลัดเทศบาล ปลัดอำเภอ ปลัดจังหวัด และปลัดกระทรวง
โดยมีหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานภายใต้สังกัด
เป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายฝ่ายการเมืองให้ไปสู่ความสำเร็จ
อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อประชาชนตามบทบาทและหน้าที่
ในสหรัฐอเมริกา อดีตประธานาธิบดี Woodrow Wilson สนับ
สนุนให้มีการปฏิรูปการบริการประชาชนในปี ค.ศ. 1880
และผลักดันให้รัฐประศาสนศาสตร์
ศาสตร์จากแนวทางปฏิบัติให้เป็นศาสตร์ในแนวทางวิชาการ อย่างไรก็ตาม Max Webber นัก
สังคมวิทยาชื่อดังของเยอรมันกล่าวไว้ใน
ทฤษฏีที่เกี่ยวกับการบริหารราชการของเขาว่า
“ไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากในทฤษฏีเกี่ยวกับทางรัฐประศาสนศาสตร์”
รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์รวมของสาขาวิชาต่างๆที่เกี่ยวกับการบริหารรัฐ
ซึ่งประกอบด้วยหลักใหญ่ๆดังต่อไปนี้ 1. ทรัพยากรมนุษย์(Human resource)2. ทฤษฏีองค์การ(organizational theory) 3. นโยบาย(policy) 4. การวิเคราะห์ (analysis) 5. สถิติ(statistics) 6. การงบประมาณ(budgeting) และ 7. หลักศีลธรรม(ethics)
นักวิชาการบางท่านกล่าวอ้างว่า รัฐประศาสนศาสตร์เป็นวิชาที่ไม่ได้รับการยอมรับในคำจำกัดความในเชิงวิชาการ เหตุผลเพราะว่า ขอบเขต(scope)ของ
วิชารัฐประศาสนศาสตร์เป็นเรื่องใหญ่ที่ครอบคลุมหลากหลายสาชาวิชา
และสามารถถกเถียงกันได้ในหลายมุมมองแบบไม่มีข้อยุติ
มากกว่าจะเป็นคำจำกัดความ(define) แบบวิชารัฐศาสตร์ นักวิชาการชื่อดัง Donal Kettl เป็นผู้หนึ่งที่มองว่ารัฐประศาสนศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตามมีนักวิชาการอีกจำนวนหนึ่งมีความเห็นว่า
รัฐประศาสนศาสตร์ควรแยกออกจากรัฐศาสตร์
เหตุผลเพราะว่ารัฐประศาสนศาสตร์เป็นวิชาชีพ
มากว่าเป็นวิชาการในแนวทางทฤษฏีแบบรัฐศาสตร์ ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า
การที่นักวิชาการหลายท่านมีความเห็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะว่า
รัฐประศาศนศาสตร์ควรเป็นสาขาวิชาที่ตั้งมั่นในหลักการทางวิชาการมากกว่าการ
ตอบสนองความต้องการทางการเมือง ของนักการเมือง
นโยบายทางการเมืองสามารถพลิกผันได้ทุกวินาที ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และอื่นๆฯลฯ
จากมุมมองทางด้านวิชาการของ The National Center for Education Statistics(NCES) ประเทศ
สหรัฐอเมริกาได้ให้คำจำกัดความ รัฐประศาสนศาสตร์เอาไว้ว่า
“รัฐประศาสนศาสตร์เป็นโปรแกรมที่ตระเตรียมบุคคลากรเพื่อการบริหารรัฐใน
รัฐบาลท้องถิ่น และรัฐบาลกลาง
ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน เห็นว่า
รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการบริหารที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนใน
องค์กร เราพบเห็นอยู่เสมอๆว่า
งานวิจัยบางชิ้นสามารถตอบโจทย์ทางการวิจัยในสถานที่ทำการวิจัยแห่งหนึ่ง
แต่ไม่สามารถตอบโจทย์ในสถานที่อื่นๆในบริบทเดียวกัน
เนื่องเพราะผู้ปฏิบัติเป็นคนละคนกัน ฐานคิดคนละฐาน ฐานความรู้คนละแหล่ง
ฐานข้อมูลไม่เหมือนกัน ตลอดจนวิสัยทัศน์และ
ประสบการณ์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ทฤษฏีทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ไม่ได้รับการยอมรับ
กันอย่างกว้างขวางดังเช่นวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์
โดยความเป็นจริงแล้ว
รัฐประศาสนศาสตร์อยู่คู่กับรัฐศาสตร์มาตั้งแต่ช้านานตั้งแต่สมัยโบราณกาล
ในอดีตกาล มนุษย์ในยุคหิน ที่เริ่มจากยุคต่างคนต่างอยู่ ถ้ำใครถ้ำมัน
ต่างคนต่างทำมาหากิน ต่อมาได้ขยายเผ่าพันธุ์
จนมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นชุมชน
การรวมกลุ่มของคนในอดีตอาจเนื่องมาจากปัญหาเรื่องความปลอดภัยส่วนตน
ปัญหาเรื่องปากท้อง ฯลฯ การมาอยู่รวมกันเป็นชุมชนต้องมีผู้ปกป้องชุมชน
ซึ่งเราเรียกกันว่าหัวหน้าชุมชน หัวหน้าเผ่า หัวหน้ารัฐใดรัฐหนึ่ง
หรือกษัตริย์ แล้วแต่จะเรียกขาน เมื่อรัฐใดมีการจัดการด้านบริหารรัฐที่ดี
ประชาชนขวัญกำลังใจดี มีการจัดเก็บภาษีได้มาก เหลือเฟือ
ก็ทำให้รัฐนั้นเข้มแข็งและแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ต่อจึงมีการสะสมกำลังพลและอาวุธยุทธโธปกรณ์เพื่อป้องกันผลประโยชน์และ
พลเมืองในรัฐเป็นพื้นฐาน
กาลเวลาต่อมาผู้ปกครองรัฐบางคนอาจมีความทะเยอทะยาน
อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล อยากได้รัฐอื่นมาเป็นบริวาร
ทั้งนี้เพื่อสะสมผลประโยชน์และการกระจายผลประโยชน์ไปสู่วงค์วานว่านเครือ
การขยายรัฐ การตีเมืองขึ้นและส่งลูกหลานตนเองไปครองแผ่นดินที่ยึดครอง
ถือเป็นเรื่องปกติของผู้ปกครองรัฐตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน
การบริหารรัฐเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้รัฐดำรงอยู่ได้ตามนโยบายของฝ่าย
การเมืองที่กุมอำนาจรัฐ การเมืองเป็นที่มาของการบริหารที่ดีหรือเลว
ดังนั้นในความเห็นของผู้เขียนเห็นว่า
รัฐประศาสนศาสตร์ต้องเดินความคู่ไปกับรัฐศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทาง
ปฏิบัติตามความเป็นจริง
หากใครพยายามแยกรัฐศาสตร์ออกจากรัฐประศาสนศาสตร์แสดงว่าไม่เข้าใจอย่าง
ชัดเจนลึกซึ้งในเรื่องรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ที่กล่าวถึง (อำนาจรัฐ(State Power) การใช้อำนาจรัฐ(The use of State Power)และการบริหารรัฐ(State Administration)
อย่างไรก็ตามรัฐประศาสนศาตร์และรัฐศาสตร์มักมีความขัดแย้งในแนวคิดอยู่เสมอ
มา นักวิชาการหลายท่านกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี ที่มีความคิดขัดแย้งกัน
แต่นักวิชาการตลอดจนประชาชนทั่วๆไปหลายท่านยังเชื่อว่าความขัดแย้งเป็น
เรื่องที่เสียหายต่อการบริหารรัฐ
ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า ความ
ขัดแย้งในเรื่องการใช้อำนาจ และการบริหารรัฐตามกฎระเบียบและ
ตามหลักวิชาการเป็นเรื่องที่ดี
และถือว่าเป็นหัวใจสำคัญสูงสุดของการบริหารรัฐ เหตุผล
เพราะว่า
หากฝายการเมือง(นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน)และเจ้าหน้าที่
ของรัฐ(ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน)ขัดแย้งกัน
ประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุด
เพราะถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินการใดๆที่ไม่สุจริตและสอดคล้องกับความต้อง
การของประชาชน ข้อมูลต่างๆจะหลั่งไหลลงสู่สาธารณะชนได้มาก ถึงมากที่สุด
และจะเกิดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทั้งสองฝ่ายจากประชาชนในท้ายที่สุด
ผู้เขียนไม่ค่อยเห็นด้วยกับนักวิชาการหลายท่านที่มีความเห็นว่าฝ่ายการ
เมืองและฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ(ข้าราชการ)ต้องเป็นเอกภาพ
มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการบริการประชาชนและจัดทำโครงการสาธารณะต่างๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับภาษีของประชาชน
ในเรื่องนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย
1.
หากเรื่องที่ฝ่ายรัฐทั้งข้าราชการฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ
ดำเนินการไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีนอกมีใน มีผลประโยชน์เป็นส่วนตน
ส่วนกลุ่ม ส่วนพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
น่าสนับสนุน ประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุด
2.
แต่ถ้าหากว่าฝ่ายข้าราชการประจำและฝ่ายการเมืองผู้กุมนโยบายรัฐ มีเอกภาพ
มีความสามัคคีกัน แต่กลับดำเนินการใดๆที่เป็นผลเสียหายต่อรัฐและประชาชน
ก็จะไม่มีใครไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อมาตีแผ่ให้
ประชาชนได้ทราบอย่างชัดเจน
จริงอยู่ถึงแม้ว่าในสภาฯ จะมีการตรวจสอบโดยฝ่ายค้าน แต่เอกสารทางราชการ
ที่เป็นเรื่องลับ จะถูกปกปิดจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย
กว่าประชาชนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็สายเกินไปเสียแล้ว
เกิดผลเสียหายและผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
ดังที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในประเทศไทยและทั่วโลก
ดร.วิชญ์พล ผลมาก
ผู้เขียน
อัพเดทข้อมูล
1. ประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าและแนวคิดการเรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว
เขียนจากประสบการณ์ตรงและจากการศึกษาวิจัยเชิงต่อยอดงานวิจัยของ ดร.เจมาร์วิน บราวน์และ ศาสตราจารย์ ไมเคิล อูลมานน์ (กำลังอัพเดทข้อมูล)
2. การปฏฺวัติการศึกษาของโลกแห่งอนาคต ไทยจะปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสถานการณ์
ความเจริญทางด้านเทคโนโลยี่กำลังจะทำให้การศึกษาของโลกทั้งโลกเปลี่ยนไปแบบพลิกแผ่นดิน โลกจะก้าวไปสู่จุดไหนเมื่อความแตกต่างทางด้านความรู้และเศณษฐกิจอย่างเช่นในปัจจุบันนี้ (กำลังอัพเดทข้อมูล)